ช่วงที่เข้าวงการมาเป็นช่วงที่เริ่มเรียนมหาวิทยาลัยด้วย แล้วเริ่มทำงานด้วย ตอนนั้นมีการตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตัวเองไว้อย่างไรคะ?
"อย่างแรก คือต้องเรียนหนังสือ ไม่มีทางที่จะทิ้ง เพราะสำหรับคุณแม่น่ะชีวิตนี้เขาไม่ขออะไรเอ๊ะค่ะ ขอแค่ให้ลูกเรียนหนังสือ เขาบอกว่าถึงลูกจะมีเงินขนาดไหน ถึงแม่จะให้อะไรลูกได้ขนาดไหน แต่ถ้าไม่มีความรู้ติดตัวก็ไม่ดี ท่านให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียนมากๆ ไม่ต้องเรียนเก่งก็ได้แต่ขอให้เรียนหนังสือ บางคนอาจจะมองว่าทำงานได้เงินเยอะแล้ว สู้โกยไปตอนนี้ดีกว่า แล้วค่อยเรียนทีหลัง แต่แม่บอกว่าไม่ เรายอมเหนื่อยกว่าคนอื่นนะ วันหนึ่งถ้าลูกประสบความสำเร็จ เราก็จะภูมิใจกว่าคนอื่น แล้วมันเป็นจริงๆนะคะ เอ๊ะเรียนหนักมาก ช่วงนั้นเราเริ่มเข้าวงการแรกๆแล้วทำงาน ถ่ายละคร ไม่ได้ไปเรียนเลยค่ะ ยิ่งพอถึงวันสอบ เอ๊ะร้องไห้ทุกครั้ง เพราะตัวเองไม่เคยได้ไปเรียนเลย แต่ต้องไปสอบ แล้วกฎหมายเป็นอะไรที่ยากไงคะ เพื่อนๆแต่ละคนที่ธรรมศาสตร์จะขึ้นชื่อลือชามาก ทุกคนจะสู้ยิบตา ก็เลยคิดว่าถึงทำงานเราก็ยอมเหนื่อย เอ๊ะอ่านหนังสือดึกมากค่ะ เรียน ๔ ปีครึ่ง แต่วันที่เรียนจบ รับปริญญาบัตร แล้วพอยืนขึ้นร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เอ๊ะร้องไห้ค่ะ คงเพราะว่าเหนื่อยมามาก แล้ววันนั้นคือวันสำเร็จของเราจริงๆ พอออกไปจากห้องประชุมแวบแรกมองหาแม่ก่อนเลย วันที่ถ่ายรูปแล้วมีปริญญา จำได้ว่าภาพนั้นไม่ได้สวยเลยนะคะ แต่เป็นภาพที่เอ๊ะยิ้มดีใจแล้วสื่ออารมณ์ได้เยอะมาก เรียนมา ๔-๕ ปีเพื่อวันนี้จริงๆ บางคนอาจจะมองว่าเป็นแค่ปริญญาใบเดียว แต่สำหรับเราไม่ใช่นะคะ ปริญญาใบนี้คือ ๔ ปี แล้วเป็น ๔ ปีที่เก็บรายละเอียดในชีวิตเราไว้เยอะมาก รู้สึกภูมิใจมาก เหมือนที่แม่บอกน่ะค่ะว่ามันอาจจะยากกว่าคนอื่น แต่เวลาภูมิใจเราก็จะภูมิใจกว่าคนอื่นค่ะ"
จากชีวิต "เด็กเรียน" เมื่อต้องเปลี่ยนมาเป็นนักแสดงที่ใครๆต่างรู้จักมีผลทำให้วิธีคิดเปลี่ยนไปบ้างไหมคะ?
"เราเปิดกว้างมากขึ้นค่ะ อย่างเมื่อก่อน ถ่ายแบบ เข้าวงการใหม่ๆเขาเอาชุดเกาะอกมา เห็นเอวนิดเดียว ไม่สบายใจแล้ว เครียด คิดว่าจะโดนด่าไหมนะ (หัวเราะ) แต่ปัจจุบันนี้เหรอคะ ต้องเกาะอกคืบหนึ่งถึงจะลงหนังสือได้ คือสังคมมันเปลี่ยนไป เอ๊ะก็กว้างขึ้น แต่ก็ไม่กว้างถึงขนาดเห็นหน้าอก ทำไม่ได้ ขีดจำกัดเอ๊ะมากขึ้นซึ่งเชื่อว่าไม่มากเกินไป เพราะถ้าคิดว่าตัวคนเดียว เราไม่แคร์อะไรน่ะได้ แต่เอ๊ะยังมีครอบครัวอีกเยอะมากค่ะ นามสกุลเราก็เป็นนามสกุลใหญ่ ถ้าทำอะไรไม่ดีจะส่งผลกระทบต่อหลายๆคน แล้วคุณแม่ก็ไม่สนับสนุน แต่คุณแม่เป็นคนเปิดกว้างมากนะคะ ท่านบอกว่าถ้าเอ๊ะเป็นฝรั่งนะ จะถ่ายชุดว่ายน้ำแม่ให้ถ่ายเลย ไม่เป็นไร แต่นี่เอ๊ะเป็นคนไทย เรายังอยู่ในสังคมไทย ฉะนั้นอย่าเลย เรียกว่ามุมมองกว้างขึ้นค่ะ แล้วก็รู้สึกว่าวงการน่ะช่วยให้เอ๊ะเป็นคนดีนะคะ เพราะไม่รู้ว่าถ้าตัวเองไม่ได้เล่นละคร มีเวลาว่างเยอะ อาจจะเป็นเด็กเกเรก็ได้ แต่พออยู่ตรงนี้ ไม่มีเวลาว่าง ทำแต่งานค่ะ"
จากวันแรกถึงวันนี้บทบาทการแสดงที่ได้รับเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนคะ?
"ช่วง ๒-๓ ปีหลัง เอ๊ะโชคดีได้บทดีมากขึ้นค่ะ เล่นอะไรแล้วเวลาไปไหนมีคนพูดถึงการแสดงเรามากขึ้น ก็ภูมิใจนะคะ เอ๊ะอาจจะไม่ใช่คนที่ทุกคนยอมรับหมดทั้งประเทศ แต่ ๒-๓ ปี เราได้บทที่เหมือนตรึงใจแฟนละครมากขึ้น ก็ดีใจค่ะ อยู่ตรงนี้มานานแล้วก็พัฒนาฝีมือไป รู้สึกว่ารักการทำงานมากขึ้น เต็มที่และกว้างขึ้น" อย่างละคร "กิ่งกาหลง" ที่เพิ่งจบไป มีบทร้องไห้ทุกวันเลย?
"จำได้ว่าตอนที่เล่นละครเรื่องแรกๆ อย่าง 'เงาอโศก' เรื่องแรก ต้องร้องไห้เยอะ แล้วเอ๊ะไม่เข้าใจว่าจะมาร้องไห้ได้ยังไงล่ะ มันไม่ใช่ชีวิตเรา ทำไมเราถึงต้องร้อง ร้องไม่ได้ แต่พอพักหลังๆ โตขึ้น ช่วงที่คนชมจริงๆคือเรื่อง ' นางบาป ' ช่วงนั้นละได้เล่นอะไรนิดหนึ่ง มันเป็นละครฟอร์มใหญ่ มีคนหลายๆคนมาประชันกัน แล้วก็เป็นละครเรื่องหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในแง่ของเรตติ้งนะคะ ก็เหมือนสร้างความมั่นใจให้เราว่าเราก็ทำได้นะ พอมาเล่นกิ่งกาหลง ก็ได้รับบทดีมากค่ะ จะมีละครกี่เรื่องที่ตัวละครได้เล่นอะไรมากขนาดนี้ พอได้มาเราก็ทำเต็มที่ เป็นเรื่องหนึ่งที่ภูมิใจและรักมาก รู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่ดีมากๆ แล้วอย่างเรื่องล่าสุด 'กลิ่นแก้วกลางใจ' เอ๊ะได้พลิกคาแร็คเตอร์ ก็ชอบค่ะ หลากหลายดี คือเอ๊ะเคยเล่นแต่บทน่าสงสาร คนก็ชินกับภาพที่เอ๊ะร้องไห้ หลายคนบอกว่าการร้องไห้เป็นเรื่องง่ายสำหรับเอ๊ะซึ่งไม่จริงนะคะ เอ๊ะไม่ใช่คนที่สั่งให้น้ำตาไหลข้างขวา แล้วร้องได้ ไม่ได้มีเทคนิคขนาดนั้น จะทำได้ก็ต่อเมื่อรู้สึกอย่างนั้นจริงๆค่ะ แต่เรื่องนี้มาเล่นร้าย ได้เล่นอะไรใหม่ๆก็ตื่นเต้น บางทีอาจจะไม่ได้ดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นะคะ เพราะเป็นงานใหม่สำหรับเรา แต่ก็ชอบ สนุกดี ตื่นเต้นค่ะ"